หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

ใบความรู้ที่ 8 คุณธรรม จริยธรรมการเป็นพลเมืองดี

ใบความรู้ที่ 8 คุณธรรม จริยธรรมการเป็นพลเมืองดี

ใบความรู้ที่  8

พลเมืองดีในสังคมระบอบประชาธิปไตย จะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตจึงจะช่วยทำให้สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมที่มีความสงบสุขและความเจริญก้าวหน้า คุณธรรม จริยธรรมของการเป็นพลเมืองดีมีอยู่ 8 ประการดังนี้
1. การรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติของเสียงส่วนมาก  ทั้งนี้ก็เพราะสมาชิกในสังคมประชาธิปไตยมักจะมีความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ ของสังคม และแนวทางแก้ไขปัญหานั้นแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องใช้เสียงข้างมากหาข้อยุติในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ แต่ทั้งนี้ส่วนมากจะต้องเคารพความคิดเห็นของเสียงส่วนมาก และจะต้องไม่ถือว่าเสียงส่วนน้อยเป็นฝ่ายผิด จึงจะทำสังคมประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้อย่างสันติ
2. การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม  ซึ่งจะเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อสังคมประชาธิปไตยอย่างยิ่งเพราะสังคมประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้และสามารถพัฒนาให้มีความสุขเจริญก้าวหน้าได้อย่างมาก ถ้าสมาชิกในสังคมเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนร่วมเสมอ
3. การมีระเบียบวินัยและเคารพต่อหน้าที่ เป็นคุณธรรมที่ช่วยให้สังคมประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าคือ ถ้าสมาชิกในสังคมประชาธิปไตยยึดมั่นในระเบียบวินัย ควบคุมตนเองได้ สังคมประชาธิปไตยนั้นก็จะมีความสุข
4. ความซื่อสัตย์สุจริต  เป็นคุณธรรมที่ให้ประโยชน์สูงสุด เพราะถ้าสมาชิกในสังคมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่อามิตสินจ้าง ไม่ทำการทุจริต สังคมนั้นจะมีความสุขและความเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ
5. ความสามัคคี  เป็นคุณธรรมที่ให้ประโยชน์แก่สังคมประชาธิปไตยอย่างมาก เพราะความสามัคคี หมายถึง ความรักใคร่กลมเกลียวและร่วมมือกันทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ถ้าประชาชนไทยมีความสามัคคีไม่แตกแยก ร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อส่วนรวมประเทศไทยจะมีความเข้มแข็งเป็นที่น่าเกรงขามของนายาประเทศ รวมทั้งจะทำให้สถาบันประชาธิปไตยมีความมั่นคงไปด้วย
6. ความละอายและเกรงกลัวในการทำความชั่ว  เป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญมากต่อสังคมประชาธิปไตย คือ ถ้าสมาชิกในสังคมมีความละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำชั่วแล้ว สิ่งไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นในสังคม.
7. ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตนเอง  เป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกันทั้งนี้เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นตองการให้มีการแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้นถ้าสมาชิกในสังคมมีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์อยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม.
8. การส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ  มีความสำคัญยิ่งเพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เมื่อได้คนดีมีความรู้ความสามารถมาช่วยกันปกครองบ้านเมือง ดังนั้นในการเลือกตั้งผู้แทนประชาชนควรเลือกคนดีให้ไปทำหน้าที่แทนตน เพราะถ้าเราได้ผู้แทนที่ดี เราก็จะได้รัฐบาลที่ดีอันส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยสามารถอำนวยประโยชน์สูงให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

ใบความรู้ที่ 7 ลักษณะของพลเมืองดี ในสังคมประชาธิปไตย

8

ใบความรู้ที่ 7 ลักษณะของพลเมืองดี ในสังคมประชาธิปไตย

ใบความรู้ที่ 7
ลักษณะของพลเมืองดี ในสังคมประชาธิปไตย



พลเมืองเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมของสังคมไทย เช่นเดียวกับสังคมอื่น ๆ ทุกสังคมย่อมต้องการพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งหมายถึงความมีร่างกายจิตใจดี คิดเป็น ทำเป็น แก้ไขปัญหาได้ มีประสิทธิภาพเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคงให้กับประเทศชาติและการเป็นพลเมืองดีนั้นย่อมต้องการปฏิบัติตามบรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมมีคุณธรรมเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอีกด้วย เพื่อการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน พลเมืองดีหมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่พลเมืองได้ครบถ้วนทั้งสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่ควรทำ
    สิ่งที่ต้องทํา เป็นสิ่งที่กําหนดให้ทํา หรือห้ามมิให้กระทํา ถ้าเป็นสิ่งที่ให้กระทําก็จะก่อให้เกิดผลดีเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หรือสังคมส่วนรวมแล้วแต่กรณี ถ้าไม่ทําหรือไม่ละเว้นการกระทําตามที่กำาหนดจะได้รับผลเสียโดยตรง คือ จะได้รับโทษ
    สิ่งที่ควรทํา คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทําหรือละเว้นการกระทําถ้าไม่ทําหรือละเว้นการกระทํา จะได้รับผลเสียโดยทางอ้อม เช่น ได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือไม่มีการคบค้าสมาคมด้วย
   สังคมประชาธิปไตยจะพัฒนาก้าวหน้าและอำนวยความผาสุกให้แก่สมาชิกในสังคมได้อย่างมากถ้าสมาชิกของสังคมมีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย คุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและช่วยจรรโลงให้สังคมประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้ามีอยู่ 6 ประการดังนี้
1. ต้องเป็นบุคคลที่เคารพกฎหมาย
2. ต้องเป็นบุคคลที่เคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น3
3. ต้องเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนมี หน้าที่ต่อครอบครัว โรงเรียน ชุมชนและประเทศชาติ
4. ต้องเป็นบุคคลที่มีเหตุผล ใจกว้าง และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
5. ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม และจริยธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
6. ต้องเป็นบุคคลที่มีความกระตือรือร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของชุมชนหรือองค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ เช่น ร่วมแก้ปัญหาและพัฒนาสภาพแวดล้อมโรงเรียนและชุมชนให้ดีขึ้น


วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ใบความรู้ที่ 6 สถาบันทางสังคมที่สำคัญ

ใบความรู้ที่ 6 สถาบันทางสังคมที่สำคัญ


ใบความรู้ที่ 6
สถาบันทางสังคมที่สำคัญ

1. สถาบันครอบครัว หมายถึง สถาบันสังคมที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการสมรส การอบรมเลี้ยงดูบุตรและแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องทางสังคม เป็นสถาบันพื้นฐานที่มีความสำคัญที่สุดของสังคม โดยสัญลักษณ์ที่สำคัญ ได้แก่แหวนหมั้น ใบทะเบียนสมรส สถานภาพ ได้แก่ พ่อ แม่ ลูก เป็นต้น
หน้าที่ครอบครัว
1. สร้างระเบียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศ
2. การให้กำเนิดสมาชิกใหม่ในสังคม
3. ให้การอบรม ให้การเรียนรู้ทางระเบียบสังคม
4. ให้การคุ้มครองและบำรุงรักษาทั้งทางร่างกายและคุณภาพของสมาชิก
5. กำหนดสถานภาพของสมาชิก เช่น เป็นคนไทย
6. ให้ความรักและความอบอุ่น
2. สถาบันการศึกษา หมายถึงการขัดเกลาและการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับแบบแผนการให้ความรู้และการฝึกฝนทักษะอาชีพ เพื่อเป็นสมาชิกที่เหมาะสมของสังคม สัญลักษณ์ เช่น ตราโรงเรียนหรือสถานศึกษาต่างๆ สถานภาพ เช่น ครู นักเรียน เป็นต้น
หน้าที่ของการศึกษา
1. ช่วยพัฒนาบุคคลให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
2. ปลูกฝังทักษะการใช้ปัญญาเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
3. ช่วยในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม
4. ปลูกฝังค่านิยมอันดีงาม
3. สถาบันศาสนา หมายถึงความศรัทธาต่อสิ่งที่เคารพบูชาของสมาชิกในสังคม สถาบันศาสนามีความเกี่ยวข้องแบบแผนความสัมพันธ์ต่อการหล่อหลอม ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคมเนื่องจากสร้างความผูกพันทางจิตใจระหว่างสมาชิกให้ยึดถือ เป็นหลักการดำเนินชีวิตร่วมกันรวมถึงเป็นแนวทางความประพฤติของบุคคลเพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม สัญลักษณ์ เช่น สัญลักษณ์ของแต่ละศาสนา วัด โบสถ์ เป็นต้น สถานภาพ เช่น พระ นักบวช ศาสนิกชน เป็นต้น
หน้าที่สถาบันศาสนา
1. กำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานความประพฤติ แนวปฏิบัติในเรื่องศีลธรรมแก่สมาชิกในสังคม
2. อบรมและปลูกฝังค่านิยมอันดีงามแก่สมาชิกในสังคม
3. ส่งเสริมสนับสนุนให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตามคำสอนทางศาสนา ช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางด้านจิตใจให้กับสมาชิกในสังคม
4. ช่วยควบคุมสังคมให้เป็นปึกแผ่นและเกิดความสงบสุข
4. สถาบันทางเศรษฐกิจ มีความเกี่ยวข้องกับแบบแผนการตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับความจำเป็นทางด้านสิ่งอุปโภคบริโภคในการดำรงชีวิต เป็นแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตกระจายสินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัญลักษณ์ เช่น เครื่องหมายการค้าของบริษัท ห้างร้านต่างๆ สถานภาพ เช่น พ่อค้า ลูกค้า เป็นต้น
5. สถาบันทางการเมืองการปกครอง มีความเกี่ยวข้องกับแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองความต้องการของสมาชิกในการดำรงชีวิตตามกฎระเบียบสังคม ควบคุมกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมให้ดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีระเบียบ และมีความปลอดภัย ช่วยขจัดความขัดแย้งการเอารัดเอาเปรียบกัน เพื่อสร้างความเสมอภาคในสังคม สัญลักษณ์ เช่น รัฐสภา เป็นต้น สถานภาพ เช่น ผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี เป็นต้น
หน้าที่สถาบันการปกครอง
1. จัดระเบียบในการเมืองการปกครอง
2. อำนวยความสะดวกในการรักษาความสงบเรียบร้อยของชาติ
3. ควบคุมให้เกิดสันติสุข โดยการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร
4. ออกกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับแนวนโยบายและแนวปฏิบัติให้ราษฎรปฏิบัติตาม
5. บริหารงานเพื่อให้สังคมดำรงอยู่และพัฒนาต่อไป

ใบความรู้ที่ 5 ความหมายของสถาบันสังคม

ใบความรู้ที่ 5 ความหมายของสถาบันสังคม


ใบความรู้ที่ 5
ความหมายของสถาบันสังคม

สถาบันสังคมหมายถึง กระบวนการที่มนุษย์ในสังคมได้จัดตั้งให้มีขึ้นอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งบุคคลส่วนใหญ่ในสังคมย่อมปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อทำหน้าที่สนองความต้องการที่จำเป็นของสังคม โดยสถาบันสังคมไม่ใช่ระบบพฤติกรรมที่สังคมกำหนดขึ้นแต่เป็นแนวทางในการปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเป็นระเบียบแบบแผน แบ่งออกตามความต้องการของมนุษย์
ลักษณะของสถาบันสังคม
1. สถาบันสังคมเป็นนามธรรม สถาบันสังคมไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มคนและไม่ใช่วัตถุสิ่งของที่จับต้องได้ แต่เป็นแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติร่วมกันของสมาชิกทุกคน
2. สถาบันสังคมเกิดจากการเชื่อมโยงบรรทัดฐานต่างๆ ทางสังคม
3. สถาบันเกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการในด้านต่างๆ ร่วมกันของสมาชิกในสังคม
4. สถาบันสังคมเกิดจากการยอมรับร่วมกันของสมาชิกในสังคม
องค์ประกอบของสถาบันสังคม
1. กลุ่มสังคม ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่างๆ  ที่ทำหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการกระทำทางสังคมระหว่างสมาชิกบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
2. หน้าที่สถาบันทางสังคม หมายถึง วัตถุประสงค์ในการตอบสนองความต้องการของสังคมในด้านต่างๆ
3. แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติของสมาชิกที่ชัดเจน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบันนั้น
4.สัญลักษณ์และค่านิยม ทำให้สมาชิกเกิดอุดมการณ์และศรัทธาต่อสถาบันทางสังคม
สถาบันสังคมจะแบ่งได้เป็นดังนี้
1. สถาบันครอบครัว หมายถึง สถาบันสังคมที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการสมรส การอบรมเลี้ยงดูบุตรและแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องทางสังคม เป็นสถาบันพื้นฐานที่มีความสำคัญที่สุดของสังคม
2. สถาบันการศึกษา หมายถึงการขัดเกลาและการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับแบบแผนการให้ความรู้และการฝึกฝนทักษะอาชีพ เพื่อเป็นสมาชิกที่เหมาะสมของสังคม
3. สถาบันศาสนา หมายถึงความศรัทธาต่อสิ่งที่เคารพบูชาของสมาชิกในสังคม สถาบันศาสนามีความเกี่ยวข้องแบบแผนความสัมพันธ์ต่อการหล่อหลอมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคม
4. สถาบันทางเศรษฐกิจ มีความเกี่ยวข้องกับแบบแผนการตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับความจำเป็นทางด้านสิ่งอุปโภคบริโภคในการดำรงชีวิต
5. สถาบันทางการเมืองการปกครอง มีความเกี่ยวข้องกับแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองความต้องการของสมาชิกในการดำรงชีวิตตามกฎระเบียบสังคม ควบคุมกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมให้ดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีระเบียบ และมีความปลอดภัย

ใบความรู้ที่ 4 การขัดเกลาทางสังคม

ใบความรู้ที่ 4 การขัดเกลาทางสังคม



ใบความรู้ที่ 4
การขัดเกลาทางสังคม


การขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการทางสังคมและจิตวิทยา ซึ่งมีผลทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการเด็กที่เกิดมาจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความเป็นคน โดยแท้จริง สามารถอยู่ร่วมกันได้และมีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้อย่างราบรื่น กระบวนการขัดเกลาทางสังคมจะเริ่มต้นตั้งแต่บุคคลถือกำเนิดมาในโลก ตัวแทนสำคัญที่ทำหน้าที่ในเรื่องนี้ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ศาสนา ตลอดจนสื่อมวลชนต่างๆ โดยตัวแทนเหล่านี้ จะทำให้บุคคลได้ทราบคุณค่าและอุดมคติที่สังคมยึดมั่นและได้เรียนรู้บรรทัดฐานและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้อยู่ในสังคม
ประเภทของการขัดเกลาทางสังคม การขัดเกลาทางสังคมอาจจำแนกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การขัดเกลาทางสังคมทางตรง เป็นการอบรมขัดเกลาที่พ่อแม่ให้กับลูก เช่น การสอนสิ่งต่างๆให้กับลูก เช่น การพูดหรือมารยาทต่างๆ หรือครูอาจารย์ที่สอนความรู้แก่นักเรียนในชั้นเรียน เป็นต้น ผู้สอนและผู้รับจะมีความรู้สึกใกล้ชิดกัน เพราะเป็นการให้การอบรมกล่อมเกลากันโดยตรง
2. การขัดเกลาทางสังคมโดยทางอ้อม เป็นวิธีการขัดเกลาทางสังคมที่ไม่ใช่การถ่ายทอดโดยตรงแต่จะเป็น โดยทางอ้อม เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์ ตลอดจนภาพยนตร์ หรือสื่อประเภทอื่น รวมถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ที่ประสบมากับตนเองเป็นการรับเข้ามาโดยไม่เป็นทางการหรือไม่ได้ตั้งใจ มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการปรับตัวของมนุษย์ เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข


องค์กรที่ทำหน้าที่ในการขัดเกลาทางสังคม กระบวนการขัดเกลาทางสังคมนี้เกิดขึ้นในทุกองค์กรทางสังคมในการอบรมกล่อมเกลาให้สมาชิกใหม่ได้รับรู้และกระทำตามเกณฑ์ของสังคม ในที่นี้ได้จำแนกองค์กรที่ทำหน้าที่นี้ดังนี้
   1. ครอบครัว เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม โดยเริ่มตั้งแต่วัยทารก ซึ่งครอบครัวจะทำหน้าที่อบรมสั่งสอนสมาชิกให้เป็นพลเมืองดีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แบบแผนที่สังคมเป็นผู้กำหนด จึงเป็นองค์กรที่มีความสำคัญที่สุดในการขัดเกลาทางสังคมในการถ่ายทอดประสบการณ์ตรงให้กับสมาชิกในสังคมเพื่อให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพ
   2. โรงเรียน ภาระหน้าที่ในการขัดเกลาทางสังคมที่ต่อเนื่องจากครอบครัวก็คือโรงเรียนที่สังคมจัดตั้งขึ้นเพื่อสั่งสอนความรู้ และถ่ายทอดวิทยาการรวมถึงศีลธรรมจรรยาต่างๆ ให้แก่สมาชิกในสังคม
  3. กลุ่มเพื่อน เมื่อสมาชิกในสังคมเติบโตขึ้นมา กลุ่มเพื่อนจะมีบทบาทที่สำคัญต่อการขัดเกลาทางสังคม โดยเฉพาะกับกลุ่มเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลเนื่องจากการลอกเลียนแบบกันภายในกลุ่ม
   4. สถาบันทางศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของสมาชิกในสังคม ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีและมีศีลธรรมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนั้นสถาบันศาสนาจึงมีความสำคัญจึงมีบทบาทสำคัญต่อสมาชิกในสังคมให้เป็นผู้ประพฤติดีอยู่ในกรอบของสังคม
   5. สื่อมวลชน มีบทบาทที่สำคัญ ในการเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆ ไปสู่สมาชิกในสังคมอย่างทั่วถึงทำให้สมาชิกได้รับรู้ข่าวสารและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างถูกต้องมีความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยตนเองอย่างมีวิจารณญาณ

ใบความรู้ที่ 3 การจัดระเบียบสังคม

ใบความรู้ที่ 3 การจัดระเบียบสังคม

ใบความรู้ที่ 3
การจัดระเบียบสังคม
การจัดระเบียบสังคม หมายถึง กระบวนการที่ควบคุมสมาชิกในสังคมหนึ่งๆ เพื่อให้ทุกคนได้ปฏิบัติในแนวเดียวกัน การจัดระเบียบสังคมนี้จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคม ทำให้แต่ละสังคมมีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้เป็นผลมาจากความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์ และบรรทัดฐานของสังคมนั้นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างองค์ประกอบของการจัดระเบียบสังคม คุณลักษณะขององค์ประกอบของการจัดระเบียบสังคมสรุปได้ 3 อย่างคือ
  • 1. สถานภาพทางสังคม หมายถึง ตำแหน่งที่บุคคลดำรงชีวิตอยู่ในสังคม หรือเป็นฐานะทางสังคมของบุคคลในชีวิตทางสังคม เป็นตำแหน่งที่บุคคลได้รับจากการเป็นสมาชิก ทุกคนในสังคมย่อมมีสถานภาพตั้งแต่กลุ่มสังคมที่เล็กที่สุดคือครอบครัว จนกระทั่งกลุ่มสังคมที่ใหญ่ที่สุด คือประเทศชาติ สถานภาพนั้นมี 2 ประเภท คือ
    •    1.1 สถานภาพที่ได้มาโดยกำเนิด เช่น เพศ ชาติตระกูล เชื้อชาติ และเงื่อนไขทางเครือญาติ เป็นต้น
    •    1.2 สถานภาพที่ได้รับมาภายหลัง ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
      • สถานภาพที่ได้มาด้วยความสามารถ เป็นสถานภาพที่เฉพาะตัว เช่น นักกีฬา นักเรียน
      • สถานภาพที่ได้มาด้วยเงื่อนไขทางเครือญาติ เช่น ปู่ ตา พี่ ป้า ฯลฯ เป็นต้น
  • 2.  บทบาททางสังคม หมายถึง สิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบที่บุคคลพึงปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานภาพของตน
    • 1. สถานภาพและบทบาทเป็นตัวกำกับซึ่งกันและกัน หากสมาชิกในสังคมใดสามารถแสดงบทบาททางสังคมได้เหมาะกับสถานภาพก็ย่อมมีผลทำให้สังคมเป็นระเบียบเจริญก้าวหน้าและสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างปกติ เช่น มีสถานภาพเป็นตำรวจก็แสดงบทบาทในการพิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเข้มแข็งโดยไม่มีการทุจริตก็อาจทำให้สังคมสงบสุข เป็นต้น
    • 2. บทบาทขัดกัน สมาชิกต้องอยู่ร่วมกันในกลุ่มสังคมหลายกลุ่ม จึงทำให้แต่ละบุคคลต้องมีหลายสถานภาพ และหลายบทบาท บางครั้งอาจนำไปสู่ปัญหาบทบาทที่ขัดแย้งกันแต่ละคนมีบทบาทหลายอย่างในเวลาเดียวกัน และการกระทำในบทบาทหนึ่งอาจจะขัดกับอีกบทบาทหนึ่งได้ เช่น สามีเป็นตำรวจที่มีหน้าที่ปราบปรามการทำผิด แต่ภรรยาเป็นนักเล่นการพนัน ในฐานะสามีต้องดูแลภรรยาให้ดีที่สุด แต่ในฐานเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจับกุมภรรยาผู้กระทำการผิดกฎหมายจึงทำให้เกิดความอึดอัดใจ เป็นปัญหาที่เกิดจากบทบาทขัดกัน และการขัดกันในบทบาทเกิดขึ้นได้เสมอ สมาชิกในสังคมต้องตัดสินใจตามวาระและโอกาสที่เกิดขึ้น
  • 3. บรรทัดฐานทางสังคม เป็นมาตรฐานความประพฤติที่มนุษย์ในสังคมกำหนดไว้ เพื่อเป็นแนวทางให้สมาชิกของสังคมเพื่อประพฤติปฏิบัติในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้นหากสมาชิกในสังคมไม่ประพฤติปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนย่อมมีความผิดถูกลงโทษซึ่งมาตรการในการลงโทษอาจจะรุนแรงมากน้อยต่างกันตามประเภทของบรรทัดฐาน
    • 1. วิถีประชา เป็นมาตรฐานความประพฤติที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความดีความชั่ว แต่เป็นแนวทางที่สมาชิกของสังคมนิยมปฏิบัติกันมาจนเป็นประเพณี เป็นความเคยชินเนื่องจากได้รับการปลูกฝังถ่ายทอดมาตั้งแต่เด็กจนโต เช่น มารยาทในสังคมต่างๆ รวมถึงวิถีในการดำเนินชีวิตซึ่งผู้ที่ล่วงละเมิด จะได้ รับการลงโทษด้วยการติเตียน เยาะเย้ย ถากถาง นินทาจากคนในสังคม
    • 2. กฎศีลธรรมหรือจารีต  เป็นมาตรฐานความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความดีและความชั่ว ความมีคุณธรรมทางจิตใจ เช่น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู สังคมมักเข้มงวดหรือเคร่งครัดกับผู้ละเมิดหรือผู้ไม่ปฏิบัติตามเพราะส่งผลกระทบต่อสมาชิกโดยส่วนรวม มาตรการในการลงโทษรุนแรงกว่าวิถีประชา เช่น การไม่คบหาสมาคมด้วย การนินทา การประจาน หรือการขับไล่ออกจากกลุ่ม ตัวอย่างการกระทำผิดจารีต เช่น การที่ผู้หญิงที่มีสามีแล้วแอบลักลอบมีชู้ เป็นต้น
    • 3. กฎหมาย เป็นมาตรฐานความประพฤติที่รัฐบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการลงโทษอย่างเป็นทางการ มีหน่วยงานควบคุมอย่างชัดเจนและผู้ที่ฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษรุนแรงมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับความผิด ซึ่งกฎหมายจะมีพื้นฐานมาจากจารีตประเพณีของประเทศนั้นเป็นสำคัญ ทั้งวิถีประชาและกฎศีลธรรม ไม่มีบทลงโทษที่ตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เรียกได้ว่าเป็นการลงโทษทางสังคมหรือการลงโทษอย่างไม่เป็นทางการก็ได้ แต่กฎหมายเป็นการลงโทษอย่างเป็นทางการหรือทางนิตินัย


ggr125.gif

ใบความรู้ที่ 2 ชนิดของสังคม




ใบความรู้ที่ 2 ชนิดของสังคม

ใบความรู้ที่ 2
ชนิดของสังคม

สามารถจำแนกประเภทของกลุ่มทางสังคมออกเป็น 4 ประเภท
  • 1. กลุ่มปฐมภูมิ เป็นกลุ่มขนาดเล็ก สมาชิกมีความสนิทสนมกัน มีลักษณะเป็นส่วนตัว ติดต่อสัมพันธ์กันเป็นเวลานานกระทำต่อกันทางสังคมอาศัยความพึงพอใจเป็นหลัก เช่น กลุ่มเพื่อนร่วนชั้นเรียน เพื่อนบ้าน ครอบครัว เป็นต้น
  • 2. กลุ่มทุติยภูมิ เป็นกลุ่มที่มีคนจำนวนมาก สัมพันธภาพของสมาชิกเป็นตามแบบแผน ขาดความเป็นกันเอง ติดต่อกันตามตำแหน่งหน้าที่ มักมีระยะสั้น มุ่งหวังผลประโยชน์ เช่น กลุ่มนักธุรกิจ พนักงานในองค์กรต่างๆ  เป็นต้น
  • 3. กลุ่มการงาน เป็นกลุ่มที่ความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ เป็นกลุ่มที่สมาชิกรวมตัวกันเพื่อร่วมมือกันทำงานหรือเพื่อแก้ปัญหา เช่น สมาคมชาวไร่อ้อย กลุ่มสหกรณ์โคนม กลุ่มส่งสินค้าออก เป็นต้น
  • 4. กลุ่มชุมชนชนบทและชุมชนเมือง กลุ่มชนบทเป็นกลุ่มที่มีชีวิตในชนบท มีอาชีพทางการเกษตร ความเป็นอยู่ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และกลุ่มชุมชนเมืองคือกลุ่มคนที่รวมตัวกันในเขตที่มีผู้คนอยู่หนาแน่นมีอาชีพด้านบริการและอาชีพอื่นที่ไม่ใช่อาชีพการเกษตร ชีวิตขึ้นอยู่กับเวลาและแบ่งงานกันรับผิดชอบ


การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มปฐมภูมิ และกลุ่มทุติยภูมิ
ปฐมภูมิ
  • ข้อดี
    •   1. ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยเป็นการส่วนตัว
    •   2. สมาชิกมีกำลังใจในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม
  • ข้อเสีย
    •   1. ทำให้มีการช่วยเหลือพวกพ้องในทางที่มิชอบได้ง่าย
    •   2. บางกรณีสมาชิกจะขาดความเป็นตัวของตัวเอง
ทุติยภูมิ
  • ข้อดี
    •    1. เกิดความยุติธรรมและความเป็นระเบียบ
    •    2. สมาชิกปฏิบัติงานเป็นระเบียบ มีประสิทธิภาพ
  • ข้อเสีย
    •    1. ไม่มีการพึ่งพาอาศัยกัน
    •    2. สมาชิขาดความอบอุ่นใจ








































ใบความรู้ที่ 1 โครงสร้างสังคม



ใบความรู้ที่ 1 โครงสร้างสังคม

ใบความรู้ที่ 1
โครงสร้างสังคม
  • โครงสร้างของสังคม คือส่วนประกอบที่ทำให้สังคมสามารถดำรงอยู่อย่างมีระเบียบแบบแผนที่มั่นคงและแสดงถึงระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ โดยโครงสร้างของสังคมมีความสำคัญเพราะสังคมมีความมั่นคงมากหรือน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความมั่นคงของโครงสร้างแต่ละส่วนและความสัมพันธ์ของโครงสร้างแต่ละส่วนต้องเป็นไปในลักษณะที่ถูกต้อง
ลักษณะของโครงสร้างทางสังคม
  • 1. มีการรวมกลุ่มของคนไทยในสังคมตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบและประสิทธิภายในการทำงานตามที่กลุ่มได้กำหนดเป้าหมายไว้
  • 2. มีแนวทางในการปฏิบัติอย่างเหมาะสม หรือมีกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนเป็นแนวทางให้ยึดถือร่วมกัน โดยยึดหลักประโยชน์สูงสุดของสังคม
  • 3. มีจุดหมายในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ที่ดี และมีความเหมาสมที่จะนำมาใช้ในสังคมหรือมีการติดต่อระหว่างกัน
  • 4. มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวคือโครงสร้างของสังคมจะมี่การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในแง่ของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงในหลายรูปแบบ เช่น จำนวนคำอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงขากการเคลื่อนย้ายของประชากรในสังคม


เกณฑ์การแบ่งกลุ่มคนมี 4 ประเภท
  • 1. กลุ่มทางสถิติ กลุ่มนี้เกิดจากการจัดโดยนักสถิติหรือนักสังคมวิทยา เช่น กลุ่มคนที่มีอายุ 20 ขึ้นไป สถานภาพของคนกลุ่มนี้ไม่มีความรู้สึกว่าตนเป็นสมาชิกในกลุ่ม เพราะไม่ได้มาร่วมกันจัดตั้งกลุ่มของตน
  • 2. กลุ่มพวกเดียวกัน คนในกลุ่มนี้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน เช่น กลุ่มชาวใต้ กลุ่มชาวเหนือ กลุ่มชาวอีสาน เป็นต้น
  • 3. กลุ่มสังคม ธรรมชาติของคนกลุ่มนี้จะมีการพบปะสังสรรค์ทางสังคม เช่น กลุ่มเพื่อนเรียนชั้นเดียวกัน กลุ่มเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
  • 4. กลุ่มสมาคม กลุ่มนี้จัดตั้งขึ้นโดยการจัดระเบียบของสังคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดตั้งร่วมกัน เช่น สมาคมครูและผู้ปกครอง สมาคมอุตสาหกรรม สมาคมศิษย์เก่า

l13.gif















































ประกาศคุณูปการ 1


หน้าที่พลเมือง

ประกาศคุณูปการ 1



ประกาศคุณูปการ

               ตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน คือ ต้องเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความสุข และวางยุทธศาสตร์ กำหนดพันธกิจ ให้พัฒนาผู้เรียน ออกเป็น 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) 2.จิตพิสัย (Effective Domain) 3.ทักษะพิสัย (Psycho motor Domain)

               ด้วยเหตุผลและความสำคัญดังกล่าว วิชาหน้าที่พลเมือง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม จึงได้ให้จัดทำ Work Shop Web Blog นี้ขึ้น เพื่อประกอบการศึกษาเรียนรู้ ทักษะที่สำคัญและจำเป็นจำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องพัฒนาตนเอง ตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ ตามทฤษฎีการเรียนเรียนรู้ การจัดการความรู้ (Knowledge Management, KM) คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ โดยพัฒนาระบบวิธีการเรียน จาก ข้อมูล ไปสู่ สารสนเทศ เพื่อให้เกิดความรู้และปัญญา รวมทั้งเพื่อก่อประโยชน์ ในการ นำไปใช้และเกิดการเรียนรู้ ครบทั้งสามด้าน อย่างมีประสิทธิภาพ 

               โดยเฉพาะเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานการจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล ทักษะการสืบค้น ฯลฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม (Word Class Standard) ซึ่งเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problem Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills 

               จากเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว จึงได้นำการศึกษาเรียนรู้ตามทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowledge  Management) เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาและฝึกทักษะการจัดการความรู้ด้วยการจัดทำ Work Shop Blog Sites ที่มีความสำคัญสำหรับกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มุ่งสู่เป้าหมายของหลักสูตร ครบทั้งสามด้าน Web Blog Education ผู้เรียนจึงจัดทำ Work Shop นี้ขึ้น

               ขอบพระคุณโรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการ ชอบ ธาระมนต์ ขอบพระคุณ คุณครูวิบูลลักษณ์  นามบุญลือ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ขอบพระคุณคุณครูชาญวิทย์  ปรีชาพาณิชพัฒนา คุณครูผู้สอน ขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ของผู้จัดทำ และขอบคุณเพื่อนๆ และกัลยาณมิตร ทุกๆ ท่าน ที่มีส่วนในการให้ความรู้ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ในการศึกษาเรียนรู้ ในการจัดทำ จน Work Shop Web Blog Sites นี้ เสร็จสิ้นสมบูรณ์



อัจฉราภรณ์  สมใจ
..........................................
ผู้จัดทำ