หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ใบความรู้ที่ 50 ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ใบความรู้ที่ 50 ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและหลักการของระบอบประชาธิปไตย
     ประชาธิปไตย เป็นระบบการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองของตนเอง ดังคำกล่าวที่กล่าวว่า “เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” มีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนหรือบางที่ก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนและผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งประชาชนกลุ่มหนึ่งที่จะอาสาจะเป็นผู้บริหารประเทศแทนประชาชนส่วนใหญ่ตามระยะเวลาและวิธีที่กำหนดไว้เป็นการแน่นอน เช่นกำหนดไว้อย่างแน่นอนทุก 2 ปี 4 ปี 5 ปี จะต้องมีการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นต้น
3. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพชั้นมูลฐานของประชาชน สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิตเสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การรวมกลุ่มและเสรีภาพในการชุมนุมเป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านั้น เว้นแต่เพื่อการรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน ฐานันดรหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษแก่บุคคลนั้น
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครองและในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง กๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง
ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย กับระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น ฝรั่งเศส  ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา
รูปแบบของระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
1. ประชาธิปไตยทางตรง ประชาชนเข้ามามีส่วนในการปกครองประเทศโดยตรง ไม่มีผู้แทนเคยปรากฎสมัยนครรัฐกรีกโบราณ ซึ่งมีจำนวนประชากรน้อย
2. ประชาธิปไตยทางอ้อม หรือประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน ประชาชนจะเลือกตั้งตัวแทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ทั้งออกกฎหมาย และบริหารซึ่งเป็นลักษณะของประชาธิปไตยยังแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

ใบความรู้ที่ 49 พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

ใบความรู้ที่ 49 พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของไทยที่สำคัญ มีดังนี้
1. พระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว หากไม่ทรงเห็นด้วยกับพระราชบัญญัติหรือร่างกฎหมายฉบับนั้น
2. การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถบริหารพระราชภาระด้วยเหตุใดก็ตาม พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
3. การแต่งตั้งองคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์สามารถทำได้ตามอัธยาศัย ซึ่งประกอบด้วยประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีไม่เกิน 18 คน
4. การแต่งตั้ง หรือให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งสมุหราชองครักษ์และเลขาธิการสำนักงานพระราชวังให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
5. การพระราชทานอภัยโทษ
6.  การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
7. การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
8. การแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ตามมติของสภา
9. การแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
10. การเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและทรงปิดการประชุม
11. การประกาศใช้หรือเลิกใช้กฎอัยการศึก
12. การประกาศสงครามโดยความเห็นชอบของรัฐสภา
บทบาทและพระราชฐานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
1. เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติ ก่อให้เกิดความสามัคคี พระองค์ทรงให้ความรัก ความเป็นห่วงพสกนิกรทั่วประเทศที่ได้รับความเดือดร้อน
2. ทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นอัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ให้ทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย มีความเจริญก้าวหน้า
3. เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องของชาติ อันเป็นประเพณีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณที่สถาบันกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศตลอดมา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทย
4.  ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพอันเป็นพระราชประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
5. ทรงมีพระราชฐานะที่อยู่เหนือกฎหมายแต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพบูชาของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ และทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
6. ทรงมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้วาพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ต่างมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ โดยการเสด็จเยือนนานาประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีตลอดมา
7. ทรงเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขวิกฤตของชาติในด้านต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม จนปัญหาเหล่านี้บรรเทาและคลี่คลายไป นำความสุขสงบร่มเย็นมาสู่สังคมไทย

ใบความรู้ที่ 48 ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณ โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ลักษณะทางสังคม คือ ความเสมอภาคในการดำเนินชีวิต ทุกคนมีส่วนเท่าเทียมกัน
2. ลักษณะทางเศรษฐกิจ คือ ประชาชนมีโอกาสจะได้รับประโยชน์สุขทางเศรษฐกิจ
3. ลักษณะทางการเมือง คือ ประชาชนมีสิทธิทาการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง

    สำหรับความเป็นมาของประชาธิปไตยในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้เริ่มต้นขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงดำเนินรัฐประศาสโนบาย เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์
เพื่อถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการปกครอง และเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปีพุทธศักราช 2468
พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะวางรากฐานการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังปรากฏหลักฐานและเอกสาร การเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนหลายครั้ง
แต่ถูกยับยั้งจากที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรช่วงเวลานั้นกระแสการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนในที่สุดมีกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ในปีพ.ศ.2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาถึง 18 ฉบับ หลังจากนั้น ประเทศไทยได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจนถึงปัจจุบัน   

ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
1. ประเทศไทยเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกไม่ได้
2. เป็นรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. อำนาจในการปกครองมาจากประชาชนหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
4. สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ          
5. รัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่กฎหมายอื่นจะขัดมิได้
6. อำนาจอธิปไตยมี 3 อำนาจ คือ
  อำนาจบริหาร มีหน้าที่ในการบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง
  อำนาจนิติบัญญัติิมีหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับภายในประเทศ

  อำนาจตุลาการิมีหน้าที่พิพากษาคดีความต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม



ใบความรู้ที่ 47 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน

ใบความรู้ที่ 47 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

        เริ่มจากการมีปฏิญญากรุงเทพ เพื่อร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน ในปี พ.ศ.2510 ประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีความร่วมมือทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ต่อกันใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสร้างความเจริญให้กับภูมิภาค
และในปีพ.ศ.2535 ประเทศทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 10 ประเทศก็ร่วมมือกันในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนขึ้น
ซึ่งจะเป็นความร่วมมือทางด้านต่าง ๆ ต่อกันให้มากขึ้น โดยลดอุปสรรคทางการค้าต่อกันได้น้อยลง เพื่อส่งเสริมมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นโดยลดภาษีให้แก่กัน
การส่งเสริมโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน การร่วมมือกันทางด้านการศึกษาในโครงการเยาวชนอาเซียน การแลกเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน
รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่อกัน เป็นต้น ปัจจุบันอาฟตาจัดเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียโดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีทางการค้าระหว่างกันให้เหลือ 0%
ปัจจุบันเขตการค้าเสรีอาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญที่สุดของไทยเนื่องจากมีประชากรรวมกันประมาณ 500 กว่าล้านคน มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงรองจากเอเชียตะวันออก จึงเป็นกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีพลัง

ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่การค้าของไทยอยู่ในระดับที่ได้เปรียบดุลการค้ายกเว้นกับประเทศญี่ปุ่น ไทยยังเสียเปรียบดุลการค้า ตัวอย่างของความร่วมมือทางการค้า เช่น สิงคโปร์ ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าไทย 406 รายการ
ซึ่งประกอบด้วย สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อฟ้า และไทยกับเวียดนามตั้งกรรมการดูแลการประมงและผลประโยชน์ ผลของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชีย ทำให้ไทยสามารถขยายการค้า รักษาผลประโยชน์ด้านการลงทุน รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือด้านการค้ากับประเทศในแถบนี้มากขึ้น

ความร่วมมือด้านความมั่นคงของประเทศ
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านคือ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มีปัญหาการขัดแย้งภายในประเทศส่งผลกระทบมาสู่พรมแดนไทย ความมั่นคงของชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนบริเวณชายแดน
ประเทศไทยมีเขตชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา แนวเขตแดนมีทั้งทอดไปตามยอดเขา และแนวสันปันน้ำแนวลำน้ำ แนวร่องน้ำลึก แนวที่ราบเส้นตรง และแนวเขตทางทะเล
ดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับพรมแดนมีผลกระทบต่อการบริหารท้องถิ่นในเขตจังหวัดชายแดน จำนวน 32 จังหวัด ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้มีการเจรจากันอยู่เป็นประจำ
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การลักลอบขายสินค้า แรงงานเข้าประเทศ การจับกุมชาวประมงไทย และการลักลอบทำลายป่า ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านได้กระทำอยู่เสมอ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา ผลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือด้านความมั่นคงก่อให้เกิดความสงบและการรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างดี

ความร่วมมือทางการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยได้มีการแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มประเทศในเอเชีย
โดยจัดทำในลักษณะโครงการร่วมกันพัฒนาการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม จัดดำเนินการแก้ไขระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ซึ่งผลก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันลดความตึงเครียดระหว่างประเทศก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันที่ดี และเกิดสันติภาพในภูมิภาค

บความรู้ที่ 46 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ใบความรู้ที่ 46 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

     ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาได้มีกองทหารอาสาของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมรบกับทหารไทยหลายครั้ง รวมถึงการติดต่อค้าขายกันเรื่อยมา
โดยเฉพาะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้ไทยได้รับดินแดนที่ชาติตะวันตกยึดครองกลับคืนมาและในระยะแรกไทยเข้าร่วมรบโดยเป็นฝ่ายเดียวกับประเทศญี่ปุ่น
และหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาประเทศไทยกับญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจต่อกันเป็นส่วนใหญ่ โดยทางด้านการค้าประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ทำให้ประสบกับการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
โดยมียอดการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นสินค้าประเภททุน เครื่องจักรกลที่มีราคาแพง ด้านการลงทุน นักลงทุนชาวญี่ปุ่นจะเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด
ทำให้ไทยได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางด้านอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะความรู้ความชำนาญให้กับช่างฝีมือชาวไทยอย่างมาก
นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังให้ความช่วยเหลือทางด้านเงินกู้ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาวแก่ประเทศไทยในอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นจำนวนมากผ่านทางสถาบันทางการเงินต่าง ๆ
นอกนั้นทางด้านการเมืองการปกครอง ปัจจุบันทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่พระราชวงศ์ที่มีการเสด็จเยี่ยมเยือนกันตลอดมา และในระดับรัฐบาลก็มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดต่อกันในด้านต่างๆ
   สัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 12.0 และนำเข้าร้อยละ 20.5 การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่น (พ.ศ. 2550) ที่ได้รับการอนุมัติ จากคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 49 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด จากต่างประเทศ
การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา อย่างเป็นทางการของรัฐบาลญี่ปุ่น ต่อไทยในรูปทวิภาคี ก็คิดเป็นประมาณร้อยละ 70 - 80 ของการช่วยเหลือ ทั้งหมดที่ประเทศไทยได้รับ จากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศกลุ่ม DAC
   สิ่งที่ฝ่ายไทยให้ความสนใจ นอกจากการส่งเสริมการลงทุน ทางการค้า โดยเฉพาะ การทุ่มเทให้แก่ การส่งเสริมการส่งออก ดังเช่นในปัจจุบัน เพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤต ฝ่ายไทย ให้ความสนใจในเรื่องการส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ใบความรู้ที่ 45 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา

ใบความรู้ที่ 45 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา




  ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา มีมาตั้งแต่ตสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของชาติตะวันตก ที่ทำสัญญาทางการค้ากับประเทศไทย หลังสัญญาเบาว์ริ่ง และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ พ.ศ.2488 เป็นต้นมา 
ได้เกิดภาวะสงครามเย็น ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย หรือเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต 
เกิดสงครามตัวแทนและความตึงเครียดขึ้นทั่วโลก เช่น เหตุการณ์สงครามเวียตนาม สงครามเกาหลี เป็นต้น ไทยได้ดำเนินนโยบายตามหลังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐสนับสนุนให้ไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศ ที่แพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยจึงเป็นมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาตลอดมา 
โดยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางด้านต่าง ๆ ต่อกัน ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ในปี 2493 เพื่อร่วมมือในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. ด้านการเมืองการปกครองและการทหาร ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อกันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เหมือนสหรัฐ ยินยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม เป็นสมาชิกขององค์การ สปอ. เพื่อต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น
2. ทางด้านเศรษฐกิจ  ภายหลังปี 2493 สหรัฐอเมริกาได้มีสัญญาเพื่อให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของไทยจำนวนมากและภายหลังสหรัฐอเมริกาก็ได้เป็นตลาดนำเข้าสินค้าของประเทศไทยที่สำคัญที่สุดในโลกมีมูลค่าในการค้าขายต่อกันแต่ละปีจำนวนมากโดยไทยจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเรื่องดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาตลอดมา โดยสหรัฐอเมริกาได้มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับไทย ในสินค้าหลายชนิดจึงมีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำทำให้สินค้าไทยได้เปรียบสินค้าจากประเทศอื่นอย่างมาก
3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรม คนไทยได้รับเอาวัฒนธรรมทางด้านต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่สำคัญ คือ วัฒนธรรมทางด้านวัตถุ การบริโภค อุปโภคสินค้าอย่างฟุ่มเฟือยเป็นต้น
    ปัจจุบันประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกายังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและได้พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายความร่วมมืออื่นต่อกันทางด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทำให้ได้รับประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย


ใบความรู้ที่ 44 การประชุมอาเซม

ใบความรู้ที่ 44 การประชุมอาเซม

ใบความรู้ที่ 44  
การประชุมอาเซม


การประชุมอาเซมจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 เป็นข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่ต้องการรักษาความสมดุลของภูมิภาค โดยต้องการเชื่อมโยงระหว่างมหาสุมทรแอตแลนติกกับแปซิฟิกให้ดียิ่งขึ้น โดยระหว่างการประชุมเอเปค ครั้งที่ 2 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนพฤศจิกายน 2537 นายกรัฐมนตรีไทยขณะนั้นคือนายชวน  หลีกภัย  ได้พบปะกับผู้นำสิงค์โปร์ และเห็นพ้องให้มีการประชุมร่วมของเอเชียกับยุโรป
    การประชุมอาเซม (ASEM) ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กรุงเทพฯ โดยฝ่ายเอเชียมี 10 ประเทศและยุโรป 15 ประเทศ เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและจะจัดให้มีการประชุมในทุก 2 ปี โดยการประชุมอาเซมครั้งที่ 2  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2541 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
   วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยได้มีการหารือเรื่องการค้าและการลงทุน เรื่องที่เกี่ยวกับองค์การการค้าโลกและได้ให้คำรับรองแผนปฏิบัติการส่งเสริมการลงทุน เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซม และเพื่อโอกาสทางการค้า นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน นโยบายทางสังคม การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล

ประโยชน์ต่อประเทศไทย  
   การเป็นสมาชิกอาเซมทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะสินค้าไทยได้รับการยกเว้นภาษีตามหลักของประเทศที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง และจากการได้สิทธิพิเศษภายใต้ระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรป ทำให้เสียภาษีนำเข้าสหภาพยุโรปในอัตราที่ต่ำกว่าปกตริ สหภาพยุโรปเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมต่ำมากสินค้าที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดของไทยคือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ก่อให้เกิดการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองภูมิภาคในระยะยาว
    การดำเนินการตามแผน Trade Promotion Action Plan เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซมเป็นไปได้สะดวกขึ้นเป็นประโยชน์ต่อการค้าทั้งสองภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาในเรื่องการลงทุนของทั้งสองภูมิภาค จึงควรผลักดันให้มีการดำเนินการตามแผน TPAP โดยเร็วที่สุด