หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ใบความรู้ที่ 31 กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

ใบความรู้ที่ 31 กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

ใบความรู้ที่ 31
กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

ภาษีอากร คือเงินที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนตามกฏหมายเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ โดยรัฐกำหนดว่าประชาชนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ เพื่อรัฐจะได้ใช้เงินสำหรับการใช้จ่ายในด้านต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ความสุขต่างๆ ของประชาชน รายได้ของรัฐบาลที่เรียกเก็บเงินภาษีของประชาชนที่ต้องจ่ายให้รัฐมีรายละเอียดดังนี้  
กรมที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี 3 กรมหลักอยู่ในสังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต
  ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกรมสรรพากร กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม มีสาระสำคัญดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลผู้มีรายได้ เช่น ข้าราชการพนักงานผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ทนายความ นักร้อง นักแสดง เป็นต้น ทั้งนี้จะเก็บจากเงินได้พึงประเมินที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับ หักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อยเหลือเป็นเงินได้สุทธิเท่าใด จึงนำไปคำนวณภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ในปัจจุบันภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารัฐจะเรียกในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 37 หมายถึง ผู้ที่มีรายได้มากย่อมต้องเสียภาษีมาก  ผู้มีรายได้น้อยจะเสียภาษีน้อย
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน ฯลฯ โดยจะเก็บจากกำไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้าและบริการ โดยผู้ขายสินค้าหรือให้บริการจะเรียกเก็บจากลูกค้า ในอัตราร้อยละ 7 และนำภาษีดังกล่าวไปชำระต่ออำเภอหรือสำนักงานเขตทุกเดือน ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีการค้าอย่างหนึ่ง การขายสินค้าหรือให้บริการต่อไปนี้ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า

กฎหมายภาษีอากรทุกฉบับ มีหัวข้อสำคัญอันเป็นโครงสร้างของกฎหมายฉบับนั้นๆ ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 6 หัวข้อด้วยกัน คือ
1.   ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร หรือผู้อยู่ในข่ายเสียภาษีอากรจะเป็นใครบ้างย่อมแล้วแต่กฎหมายนั้นๆ จะกำหนด แต่โดยทั่วไปมักได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
2.  ฐานภาษีอากร  ในความหมายอย่างกว้าง  หมายถึงสิ่งที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีอากร  เช่น การมีรายได้  การมีทรัพย์สิน  หรือการใช้จ่าย  เป็นต้น  ในความหมายอย่างแคบ  หมายถึง  สิ่งที่รองรับอัตราภาษีอากร (ภาษีอากรที่ต้องเสีย =  ฐานภาษีอากร ? อัตราภาษีอากร)
3.  อัตราภาษีอากร  แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ  คือ  แบบคงที่  แบบก้าวหน้า  แบบถดถอย
4.  การประเมินจัดเก็บภาษีอากร ภาษีอากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรเป็นผู้ดำเนินการประเมินตนเอง โดยประเมินหรือคำนวณตามวิธีการและตามกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ แล้วยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีอากรตามจำนวนที่พึงต้องชำระ ถ้าผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรไม่ดำเนินการประเมินตนเองหรือประเมินตนเองอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่สมบรูณ์ก็จะมีการประเมินโดยเจ้าพนักงานซึ่งในกรณีหลังนี้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินให้ผู้เสียภาษีอากรต้องรับผิดชำระเงินเพิ่ม และหรือเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากภาษีอากรที่ต้องเสียในบางกรณีแม้ไม่ถึงกำหนดเวลาชำระภาษีอากร
5.  การอุทธรณ์ภาษีอากร  ในกรณีเกิดปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขัดแย้งพิพาทกันระหว่างผู้เสียภาษีอากรและผู้จัดเก็บภาษีอากร  เกี่ยวกับจำนวนภาษีอากรที่ต้องเสียหรืออำนาจการประเมินเรียกเก็บภาษีอากร  และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องการให้มีการพิจารณาทบทวนใหม่  กฎหมายมักกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีหาข้อยุติให้ครบถ้วนเสียก่อน  มิฉะนั้นผู้เสียสิทธิในการนำคดีขึ้นสู่ศาลได้
6.   เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษ   ผู้ไม่ชำระภาษีอากรจะต้องรับผิดชอบในจำนวนภาษีอากรที่ไม่ชำระพร้อมด้วยเบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มเป็นจำนวนเงินเพิ่มขึ้นต่างหากถ้าฝ่าฝืนไม่ยอมชำระ กฎหมายมักให้อำนาจเจ้าพนักงานดำเนินการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรไปขายทอดตลาดเพื่อนำเงินไปชำระภาษีอากรค้างโดยไม่ต้องฟ้องคดีศาล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น