หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ใบความรู้ที่ 50 ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ใบความรู้ที่ 50 ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและหลักการของระบอบประชาธิปไตย
     ประชาธิปไตย เป็นระบบการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองของตนเอง ดังคำกล่าวที่กล่าวว่า “เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” มีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนหรือบางที่ก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ เป็นอำนาจที่มาจากปวงชนและผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งประชาชนกลุ่มหนึ่งที่จะอาสาจะเป็นผู้บริหารประเทศแทนประชาชนส่วนใหญ่ตามระยะเวลาและวิธีที่กำหนดไว้เป็นการแน่นอน เช่นกำหนดไว้อย่างแน่นอนทุก 2 ปี 4 ปี 5 ปี จะต้องมีการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนของประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศ เป็นต้น
3. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพชั้นมูลฐานของประชาชน สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิตเสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การรวมกลุ่มและเสรีภาพในการชุมนุมเป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเหล่านั้น เว้นแต่เพื่อการรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน ฐานันดรหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษแก่บุคคลนั้น
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครองและในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง กๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง
ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย กับระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น ฝรั่งเศส  ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา
รูปแบบของระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
1. ประชาธิปไตยทางตรง ประชาชนเข้ามามีส่วนในการปกครองประเทศโดยตรง ไม่มีผู้แทนเคยปรากฎสมัยนครรัฐกรีกโบราณ ซึ่งมีจำนวนประชากรน้อย
2. ประชาธิปไตยทางอ้อม หรือประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน ประชาชนจะเลือกตั้งตัวแทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ทั้งออกกฎหมาย และบริหารซึ่งเป็นลักษณะของประชาธิปไตยยังแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

ใบความรู้ที่ 49 พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

ใบความรู้ที่ 49 พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

พระมหากษัตริย์กับการใช้อำนาจอธิปไตย

พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญของไทยที่สำคัญ มีดังนี้
1. พระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติหรือกฎหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว หากไม่ทรงเห็นด้วยกับพระราชบัญญัติหรือร่างกฎหมายฉบับนั้น
2. การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถบริหารพระราชภาระด้วยเหตุใดก็ตาม พระมหากษัตริย์สามารถแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
3. การแต่งตั้งองคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์สามารถทำได้ตามอัธยาศัย ซึ่งประกอบด้วยประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีไม่เกิน 18 คน
4. การแต่งตั้ง หรือให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่งสมุหราชองครักษ์และเลขาธิการสำนักงานพระราชวังให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
5. การพระราชทานอภัยโทษ
6.  การสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
7. การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
8. การแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ตามมติของสภา
9. การแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
10. การเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและทรงปิดการประชุม
11. การประกาศใช้หรือเลิกใช้กฎอัยการศึก
12. การประกาศสงครามโดยความเห็นชอบของรัฐสภา
บทบาทและพระราชฐานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
1. เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติ ก่อให้เกิดความสามัคคี พระองค์ทรงให้ความรัก ความเป็นห่วงพสกนิกรทั่วประเทศที่ได้รับความเดือดร้อน
2. ทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นอัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ให้ทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย มีความเจริญก้าวหน้า
3. เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องของชาติ อันเป็นประเพณีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณที่สถาบันกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศตลอดมา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทย
4.  ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพอันเป็นพระราชประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
5. ทรงมีพระราชฐานะที่อยู่เหนือกฎหมายแต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ทรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพบูชาของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ และทรงเป็นกลางทางการเมืองไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
6. ทรงมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้วาพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ต่างมีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ โดยการเสด็จเยือนนานาประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีตลอดมา
7. ทรงเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขวิกฤตของชาติในด้านต่าง ๆ ตลอดมา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม จนปัญหาเหล่านี้บรรเทาและคลี่คลายไป นำความสุขสงบร่มเย็นมาสู่สังคมไทย

ใบความรู้ที่ 48 ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย


การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณ โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. ลักษณะทางสังคม คือ ความเสมอภาคในการดำเนินชีวิต ทุกคนมีส่วนเท่าเทียมกัน
2. ลักษณะทางเศรษฐกิจ คือ ประชาชนมีโอกาสจะได้รับประโยชน์สุขทางเศรษฐกิจ
3. ลักษณะทางการเมือง คือ ประชาชนมีสิทธิทาการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง

    สำหรับความเป็นมาของประชาธิปไตยในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้เริ่มต้นขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงดำเนินรัฐประศาสโนบาย เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์
เพื่อถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการปกครอง และเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในปีพุทธศักราช 2468
พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะวางรากฐานการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังปรากฏหลักฐานและเอกสาร การเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนหลายครั้ง
แต่ถูกยับยั้งจากที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควรช่วงเวลานั้นกระแสการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนในที่สุดมีกลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
ในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ในปีพ.ศ.2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาถึง 18 ฉบับ หลังจากนั้น ประเทศไทยได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจนถึงปัจจุบัน   

ลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
1. ประเทศไทยเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกไม่ได้
2. เป็นรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
3. อำนาจในการปกครองมาจากประชาชนหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
4. สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐ          
5. รัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่กฎหมายอื่นจะขัดมิได้
6. อำนาจอธิปไตยมี 3 อำนาจ คือ
  อำนาจบริหาร มีหน้าที่ในการบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง
  อำนาจนิติบัญญัติิมีหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับภายในประเทศ

  อำนาจตุลาการิมีหน้าที่พิพากษาคดีความต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม



ใบความรู้ที่ 47 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน

ใบความรู้ที่ 47 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

        เริ่มจากการมีปฏิญญากรุงเทพ เพื่อร่วมก่อตั้งสมาคมอาเซียน ในปี พ.ศ.2510 ประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีความร่วมมือทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ต่อกันใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสร้างความเจริญให้กับภูมิภาค
และในปีพ.ศ.2535 ประเทศทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 10 ประเทศก็ร่วมมือกันในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนขึ้น
ซึ่งจะเป็นความร่วมมือทางด้านต่าง ๆ ต่อกันให้มากขึ้น โดยลดอุปสรรคทางการค้าต่อกันได้น้อยลง เพื่อส่งเสริมมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นโดยลดภาษีให้แก่กัน
การส่งเสริมโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน การร่วมมือกันทางด้านการศึกษาในโครงการเยาวชนอาเซียน การแลกเปลี่ยนทางด้านเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน
รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่อกัน เป็นต้น ปัจจุบันอาฟตาจัดเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียโดยประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีทางการค้าระหว่างกันให้เหลือ 0%
ปัจจุบันเขตการค้าเสรีอาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญที่สุดของไทยเนื่องจากมีประชากรรวมกันประมาณ 500 กว่าล้านคน มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงรองจากเอเชียตะวันออก จึงเป็นกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีพลัง

ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่การค้าของไทยอยู่ในระดับที่ได้เปรียบดุลการค้ายกเว้นกับประเทศญี่ปุ่น ไทยยังเสียเปรียบดุลการค้า ตัวอย่างของความร่วมมือทางการค้า เช่น สิงคโปร์ ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าไทย 406 รายการ
ซึ่งประกอบด้วย สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อฟ้า และไทยกับเวียดนามตั้งกรรมการดูแลการประมงและผลประโยชน์ ผลของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชีย ทำให้ไทยสามารถขยายการค้า รักษาผลประโยชน์ด้านการลงทุน รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือด้านการค้ากับประเทศในแถบนี้มากขึ้น

ความร่วมมือด้านความมั่นคงของประเทศ
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านคือ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มีปัญหาการขัดแย้งภายในประเทศส่งผลกระทบมาสู่พรมแดนไทย ความมั่นคงของชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนบริเวณชายแดน
ประเทศไทยมีเขตชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา แนวเขตแดนมีทั้งทอดไปตามยอดเขา และแนวสันปันน้ำแนวลำน้ำ แนวร่องน้ำลึก แนวที่ราบเส้นตรง และแนวเขตทางทะเล
ดังนั้น ปัญหาเกี่ยวกับพรมแดนมีผลกระทบต่อการบริหารท้องถิ่นในเขตจังหวัดชายแดน จำนวน 32 จังหวัด ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้มีการเจรจากันอยู่เป็นประจำ
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การลักลอบขายสินค้า แรงงานเข้าประเทศ การจับกุมชาวประมงไทย และการลักลอบทำลายป่า ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านได้กระทำอยู่เสมอ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา ผลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือด้านความมั่นคงก่อให้เกิดความสงบและการรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างดี

ความร่วมมือทางการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยได้มีการแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มประเทศในเอเชีย
โดยจัดทำในลักษณะโครงการร่วมกันพัฒนาการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม จัดดำเนินการแก้ไขระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ซึ่งผลก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันลดความตึงเครียดระหว่างประเทศก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันที่ดี และเกิดสันติภาพในภูมิภาค

บความรู้ที่ 46 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ใบความรู้ที่ 46 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

     ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาได้มีกองทหารอาสาของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมรบกับทหารไทยหลายครั้ง รวมถึงการติดต่อค้าขายกันเรื่อยมา
โดยเฉพาะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้สนับสนุนให้ไทยได้รับดินแดนที่ชาติตะวันตกยึดครองกลับคืนมาและในระยะแรกไทยเข้าร่วมรบโดยเป็นฝ่ายเดียวกับประเทศญี่ปุ่น
และหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาประเทศไทยกับญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจต่อกันเป็นส่วนใหญ่ โดยทางด้านการค้าประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ทำให้ประสบกับการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
โดยมียอดการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากสินค้าจากญี่ปุ่นเป็นสินค้าประเภททุน เครื่องจักรกลที่มีราคาแพง ด้านการลงทุน นักลงทุนชาวญี่ปุ่นจะเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด
ทำให้ไทยได้รับการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางด้านอุตสาหกรรม เพิ่มทักษะความรู้ความชำนาญให้กับช่างฝีมือชาวไทยอย่างมาก
นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังให้ความช่วยเหลือทางด้านเงินกู้ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาวแก่ประเทศไทยในอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นจำนวนมากผ่านทางสถาบันทางการเงินต่าง ๆ
นอกนั้นทางด้านการเมืองการปกครอง ปัจจุบันทั้งสองประเทศก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่พระราชวงศ์ที่มีการเสด็จเยี่ยมเยือนกันตลอดมา และในระดับรัฐบาลก็มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดต่อกันในด้านต่างๆ
   สัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 12.0 และนำเข้าร้อยละ 20.5 การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่น (พ.ศ. 2550) ที่ได้รับการอนุมัติ จากคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 49 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด จากต่างประเทศ
การช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา อย่างเป็นทางการของรัฐบาลญี่ปุ่น ต่อไทยในรูปทวิภาคี ก็คิดเป็นประมาณร้อยละ 70 - 80 ของการช่วยเหลือ ทั้งหมดที่ประเทศไทยได้รับ จากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศกลุ่ม DAC
   สิ่งที่ฝ่ายไทยให้ความสนใจ นอกจากการส่งเสริมการลงทุน ทางการค้า โดยเฉพาะ การทุ่มเทให้แก่ การส่งเสริมการส่งออก ดังเช่นในปัจจุบัน เพื่อฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจจากภาวะวิกฤต ฝ่ายไทย ให้ความสนใจในเรื่องการส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ใบความรู้ที่ 45 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา

ใบความรู้ที่ 45 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา




  ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา มีมาตั้งแต่ตสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของชาติตะวันตก ที่ทำสัญญาทางการค้ากับประเทศไทย หลังสัญญาเบาว์ริ่ง และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ พ.ศ.2488 เป็นต้นมา 
ได้เกิดภาวะสงครามเย็น ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย หรือเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต 
เกิดสงครามตัวแทนและความตึงเครียดขึ้นทั่วโลก เช่น เหตุการณ์สงครามเวียตนาม สงครามเกาหลี เป็นต้น ไทยได้ดำเนินนโยบายตามหลังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐสนับสนุนให้ไทยหลุดพ้นจากการเป็นประเทศ ที่แพ้ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยจึงเป็นมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาตลอดมา 
โดยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางด้านต่าง ๆ ต่อกัน ทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ในปี 2493 เพื่อร่วมมือในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. ด้านการเมืองการปกครองและการทหาร ไทยกับสหรัฐอเมริกามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อกันตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เหมือนสหรัฐ ยินยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม เป็นสมาชิกขององค์การ สปอ. เพื่อต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย เป็นต้น
2. ทางด้านเศรษฐกิจ  ภายหลังปี 2493 สหรัฐอเมริกาได้มีสัญญาเพื่อให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของไทยจำนวนมากและภายหลังสหรัฐอเมริกาก็ได้เป็นตลาดนำเข้าสินค้าของประเทศไทยที่สำคัญที่สุดในโลกมีมูลค่าในการค้าขายต่อกันแต่ละปีจำนวนมากโดยไทยจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบเรื่องดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาตลอดมา โดยสหรัฐอเมริกาได้มอบสิทธิพิเศษทางการค้าให้กับไทย ในสินค้าหลายชนิดจึงมีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำทำให้สินค้าไทยได้เปรียบสินค้าจากประเทศอื่นอย่างมาก
3. ทางด้านสังคมวัฒนธรรม คนไทยได้รับเอาวัฒนธรรมทางด้านต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่สำคัญ คือ วัฒนธรรมทางด้านวัตถุ การบริโภค อุปโภคสินค้าอย่างฟุ่มเฟือยเป็นต้น
    ปัจจุบันประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกายังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและได้พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายความร่วมมืออื่นต่อกันทางด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทำให้ได้รับประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย


ใบความรู้ที่ 44 การประชุมอาเซม

ใบความรู้ที่ 44 การประชุมอาเซม

ใบความรู้ที่ 44  
การประชุมอาเซม


การประชุมอาเซมจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 เป็นข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่ต้องการรักษาความสมดุลของภูมิภาค โดยต้องการเชื่อมโยงระหว่างมหาสุมทรแอตแลนติกกับแปซิฟิกให้ดียิ่งขึ้น โดยระหว่างการประชุมเอเปค ครั้งที่ 2 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือนพฤศจิกายน 2537 นายกรัฐมนตรีไทยขณะนั้นคือนายชวน  หลีกภัย  ได้พบปะกับผู้นำสิงค์โปร์ และเห็นพ้องให้มีการประชุมร่วมของเอเชียกับยุโรป
    การประชุมอาเซม (ASEM) ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์กรุงเทพฯ โดยฝ่ายเอเชียมี 10 ประเทศและยุโรป 15 ประเทศ เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและจะจัดให้มีการประชุมในทุก 2 ปี โดยการประชุมอาเซมครั้งที่ 2  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2541 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
   วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยได้มีการหารือเรื่องการค้าและการลงทุน เรื่องที่เกี่ยวกับองค์การการค้าโลกและได้ให้คำรับรองแผนปฏิบัติการส่งเสริมการลงทุน เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซม และเพื่อโอกาสทางการค้า นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน นโยบายทางสังคม การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกล

ประโยชน์ต่อประเทศไทย  
   การเป็นสมาชิกอาเซมทำให้เศรษฐกิจของไทยดีขึ้น โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะสินค้าไทยได้รับการยกเว้นภาษีตามหลักของประเทศที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง และจากการได้สิทธิพิเศษภายใต้ระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรป ทำให้เสียภาษีนำเข้าสหภาพยุโรปในอัตราที่ต่ำกว่าปกตริ สหภาพยุโรปเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมต่ำมากสินค้าที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดของไทยคือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ก่อให้เกิดการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองภูมิภาคในระยะยาว
    การดำเนินการตามแผน Trade Promotion Action Plan เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซมเป็นไปได้สะดวกขึ้นเป็นประโยชน์ต่อการค้าทั้งสองภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาในเรื่องการลงทุนของทั้งสองภูมิภาค จึงควรผลักดันให้มีการดำเนินการตามแผน TPAP โดยเร็วที่สุด

ใบความรู้ที่ 43 นโยบายการต่างประเทศ

ใบความรู้ที่ 43 นโยบายการต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศของไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน

   หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่าง ๆ ในโลกได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งความแตกต่างทางอดุมการณ์ทางการเมือง คือฝ่ายเสรีนิยมซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียต ซึ่งไทยมีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจีนเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับไทยมากนัก
   ชาติมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตที่ทำสงครามเย็นกันมาตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีนโยบายผ่อนคลายความตึงเครียดต่อกัน โดยสหภาพโซเวียตได้ประกาศนโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และสหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงการที่จะใช้นโยบายปิดล้อมประเทศคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะประเทศจีนไม่ได้ผล ประธานาธิปดีนิกสันแห่งสหรัฐอเมริกาจึงได้เปิดสัมพันธไมตรีกับจีนขึ้นในปีค.ศ.1969 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศที่มีความขัดแย้งในด้านอุดมการณ์ทางการเมืองได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันทำให้ไทยที่เคยดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มาโดยตลอดต้องเปลี่ยนนโยบายของตนโดยหันมาสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนเป็นครั้งแรกในรัฐบาลของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 โดยลงนามกับนายกรัฐมนตรี โจ เอิน ไหล ของจีน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศครั้งสำคัญของไทย ซึ่งส่งผลให้ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมาและเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน

ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
1. เป็นการลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่เกิดการปฏิวัติในประเทศจีนในปี พ.ศ.2492
2. ประเทศไทยลดภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ลง เพราะภัยจากคอมมิวนิสต์ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดของไทยมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่เมื่อไทยสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน จึงทำให้ภัยคุกคามดังกล่าวลดลง
3. ส่งเสริมให้เศรษฐกิจของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง เพราะสามารถที่จะค้าขายกับจีนได้มากขึ้น ถือเป็นการเปิดตลาดของสินค้าไทยครั้งสำคัญ ทำให้มีมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นมาจนถึงxปัจจุบัน
4. เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการลดการเผชิญหน้าต่อกันของประเทศที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน

ใบความรู้ที่ 42 อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต

ใบความรู้ที่ 42 อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต

อิทธิพลของระบบการเมืองการปกครองที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต

   การเมืองการปกครองเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในสังคมเดียวกัน การมีอำนาจบังคับสมาชิกในสังคมต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นระบบการเมืองการปกครองจึงมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต โดยประชาชนทุกคนในสังคมจะต้องเคารพและปฏิบัติตนตามแนวทางเดียวกันตามที่ระบบการเมืองการปกครองนั้นกำหนด เช่น ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลก็จะให้สิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตแก่ประชาชนอย่างมาก แต่หากเป็นระบบการเมืองการปกครองในระบอบเผด็จการสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะถูกจำกัดโดยอำนาจรัฐ เป็นต้น
    ในการศึกษาเรื่องประชาชนกับบทบาททางการเมืองนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องทราบถึงเรื่องสิทธิ หน้าที่เสรีภาพและความสำนึกทางการเมือง  ตลอดจนมีความเข้าใจถึงพรรคการเมือง รวมไปถึงกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในสังคมไทยและมีอิทธิพลต่อระบบการเมืองการปกครอง   เช่น  กลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์  สื่อมวลชน  ระบบราชการรวมทั้งการแสดงประชามติ  หรือมติมหาชน หรือการทำประชาพิจารณ์ในเรื่องต่างๆ  และจากรัฐธรรมนูญ  พ.ศ. 2550  ยังมีองค์กรอิสระต่างๆ ที่ช่วยในการตรวจสอบ จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2550  ยังกำหนดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยรัฐธรรมนูญรับรอง การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพ ตามมาตรา 26 และมาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง รวมทั้ง บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือจากรัฐ ในการใช้สิทธินอกจากนี้ในมาตรา 29 ยังกำหนดว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
   จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2550  จะเห็นว่าได้กำหนดเรื่องสิทธิ ของบุคคลไว้อย่างชัดเจนคือหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 26-69 และหมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา 70-74 และที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญไทยฉบับใดที่มีการรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงนับได้ว่า  รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชนชาวไทยเท่าเทียมกับกฎหมายสากลทั่วไป  สิ่งที่ควรรู้ต่อไปคือคำว่าสิทธิหมายถึงอะไรและบุคคลมีสิทธิเรื่องใดบ้าง

ใบความรู้ที่ 41 ปัญหาการเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ

ใบความรู้ที่ 41 ปัญหาการเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ

ปัญหาการเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
1x42.gif
    จากการที่ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วส่งผลทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาการทางด้านการเมืองการปกครองที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมในด้านการเมืองการปกครองมากขึ้นส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่อการเมืองการปกครองขึ้นภายในประเทศ
  ปัญหาวิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ซึ่งมีความเห็นต่อต้านและสนับสนุนต่างๆนานา  และยังสะท้อนถึงความไม่เสมอภาคและความแตกแยก  ระหว่างชาวเมืองและชาวชนบทอีกด้วยจึงทำให้การเมืองไทยปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีที่จะยุติลง  และยังส่งผลถึงปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ทำให้ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากมายและทำให้เสื่อมลงอย่างเรื่อยๆจนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และในปัจจุบันการเมืองไทยยังขาดประสิทธิภาพและความสามรถของระบบการเมืองในการแก้ไขปัญหาของสังคมซึ่งยังเป็นปัญหาของระบบการเมืองไทยที่จะต้องแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ

ปัญหาที่สำคัญมีดังนี้
1. ปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญ โดยเกิดปัญหาการตีความเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่คลาดเคลื่อนเนื่องจากผู้มีอำนาจในประเทศพยายามตีความรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง รวมถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญบ่อยครั้งจนเกินไปทำให้ขาดความต่อเนื่องในการบังคับใช้
2. ปัญหาการขาดความสามัคคีของประชาชนไทย ซึ่งมีผลมาจากการมีความคิดเห็นทางด้านการเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน ความไม่ยุติธรรมของกระบวนการทางสังคมต่าง ๆ รวมถึงการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม เกิดปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น เป็นต้น
3. ปัญหาการขาดจริยธรรมทางการเมืองของประชาชนชาวไทย เช่น การซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้งของประชาชน นักการเมืองมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องมากเกินไป การไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง เป็นต้น

ใบความรู้ที่ 40 การเสียภาษีอากร

ใบความรู้ที่ 40 การเสียภาษีอากร

ใบความรู้ที่ 40
การเสียภาษีอากร

ภาษีอากร คือ เงินที่รัฐจัดเก็บจากบุคคล เพื่อนำไปใช้จ่ายในการบริหารประเทศเป็นรายได้ที่สำคัญที่สุดของรัฐ ภาษีอากรที่รัฐจัดเก็บมีทั้งภาษีทางตรง และภาษีทางอ้อม แยกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นภาษีที่เก็บจากเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า และอากรแสตมป์
2. ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่เก็บจากสิ่งประดิษฐ์และผลิตขึ้นในประเทศ
3. ภาษีศุลากร เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศ

  เงินได้ หมายถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากสิ่งต่อไปนี้ การใช้แรงงาน การใช้เงินลงทุน การใช้ทรัพย์สินลงทุน การใช้วิชาชีพอิสระ หรือจากการใช้ความสามารถพิเศษ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์เงินได้ หมายถึง ผลบวกของการบริโภคและมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นในรอบระยะเวลาหนึ่ง ฉะนั้นเงินได้จึงมิได้อยู่ในรูปของตัวเงินเสมอไป ผู้ที่มีเงินได้ตามหลักเกณฑ์จะต้องดำเนินการเสียภาษีให้เรียบร้อย

ลักษณะการเก็บภาษีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. บุคคลธรรมดา มีหน้าที่เสียภาษีอากรเมื่อมีเงินได้ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป โดยต้องยื่นเสียภาษีภายในวันที่ 31  มีนาคมของปีถัดไป โดยเก็บจากเงินได้พึงประเมินผู้เสียภาษีดังกล่าวได้รับหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเหลือเป็นเงิน ได้สุทธิเท่าใดจึงนำไปคำนวณภาษี ปัจจุบันการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นในอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึง ร้อยละ 37 ซึ่งเก็บตามฐานจำนวนรายได้ โดยผู้มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมากขึ้นเป็นต้น
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล  เป็นภาษีที่จัดเก็บจากนิติบุคคล โดยจะเก็บจากกำไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีได้รับในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ หรือในอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ยกเว้น ถึงร้อยละ 30 หากเป็นกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการ โดยปัจจุบันผู้ผลิตจะผลักภาระนี้ ให้แก่ผู้ซื้อจ่ายเองในอัตราร้อยละ 7  

ประโยชน์ของภาษีอากร คือ
1. ก่อให้เกิดการใช้งานเต็มที่
2. เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมที่สุด
3. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4. เพื่อให้การกระจายรายได้และความมั่งคั่งเป็นธรรม
5. เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ  

ใบความรู้ที่ 39 กฏหมายแพ่งและพาณิชย์

ใบความรู้ที่ 39 กฏหมายแพ่งและพาณิชย์

ใบความรู้ที่ 39
กฏหมายแพ่งและพาณิชย์

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
   กฎหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน การกู้เงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต้องทำสัญญากู้เงินเป็นลายลักษณ์อักษรจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยสามารถคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือไม่เกิน 1.25 ต่อเดือน โดยการกู้ยืมเงินเป็นโมฆะถ้าเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
  กฎหมายเกี่ยวกับค้ำประกัน จะประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ผู้ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ โดยผู้ค้ำสัญญาว่าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดผู้ค้ำก็จะเป็นผู้ชำระหนี้แทน
  กฎหมายเกี่ยวกับการจำนอง หมายถึง การนำทรัพย์สินของตนไปให้กับบุคคลอื่น เพื่อประกันการชำระหนี้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด ต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรลงลายมือชื่อของผู้จำนองและผู้รับจำนอง และต้องทำต่อหน้าเจ้าพนักงานเท่านั้น เพราะทรัพย์สินที่สามารถจำนองได้เป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์
  กฎหมายเกี่ยวกับการจำนำ หมายถึง การนำทรัพย์สินของตนมาให้กับบุคคลอื่นเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ทั้งที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินของตนไว้ให้แก่บุคคลผู้นั้นด้วย โดยไม่ต้องทำต่อหน้าที่เจ้าพนักงาน สามารถทำกันเองได้เป็นทรัพย์ประเภทสังหาริมทรัพย์ แล้วต้องไถ่ถอน ตามเวลาที่กำหนดถ้าไม่ทำตามสัญญาผู้รับจำนำสามารถนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาบังคับ
 กฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขาย
1. สัญญาซื้อขายธรรมดา  เป็นสัญญาที่บุคคลหนึ่งโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนไปให้แก่อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อโดยผู้ซื้อตกลงว่าจะชำระราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขายซึ่งมีสิทธิสำคัญ คือ การซื้อขายได้ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ตกลงทางเวลาก็พอแล้วและถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะมีความสมบูรณ์
2. สัญญาขายฝาก เป็นการทำสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินตกเป็นของผู้ซื้อแล้วโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ถอนทรัพย์ของตนคือมาได้ในเวลาที่กำหนด ถ้าพ้นกำหนดแล้วไม่มีการไถ่คืนทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของผู้ซื้อทันทีไม่ต้องฟ้องร้องต่อศาล
 
กฎหมายเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์  
การเช่าทรัพย์ หมายถึง การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของผู้อื่นชั่วคราวในระยะเวลาที่กำหนด โดยจ่ายค่าเช่าเป็นสิ่งตอบแทน แต่ผู้เช่าจะไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าแต่อย่างใด มีทั้งการเช่าทรัพย์ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรถ้าเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์จะมีสัญญาเช่าไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่อสัญญาได้เมื่อครบกำหนดสัญญา
กฎหมายเกี่ยวกับการเช่าซื้อ  
การเช่าซื้อ หมายถึง การที่เข้าของทรัพย์สินนำทรัพย์สินของตนออกมาให้ผู้อื่นเช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นให้ หรือยกทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้เช่าจะต้องชำระเงินให้แก่เจ้าของทรัพย์สินนั้นเป็นงวด ๆ จนครบตามที่กำหนด โดยหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการเช่าซื้อคือ จะต้องมีการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร และผู้เช่าซื้อค้างชำระมาเช่าซื้อ 2 งวด ติดต่อกันเจ้าของทรัพย์สินหรือผู้ให้เช่ามีสิทธิในการบอกเลิกสัญญามาได้ แล้วนำทรัพย์สินนั้นกลับมาเป็นของตน